ลูกหนี้ควรรู้!! เมื่อผิดนัดชำระหนี้ จนเจ้าหนี้ฟ้องศาล
ลูกหนี้ควรรู้!! เมื่อผิดนัดชำระหนี้ จนเจ้าหนี้ฟ้องศาล
ปัจจัยสำคัญที่เข้ามากระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนมี “หนี้” คือสถานการณ์ที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้การผิดนัดชำระเลื่อนขั้นไปสู่การ “ฟ้องศาล” จาก “เจ้าหนี้” ไม่ว่าการถูกฟ้อง ด้วยสาเหตุของการผิดนัดชำระหนี้จะมีต้นเหตุอะไรก็ตาม แต่เมื่ออยู่ในสถานะของจำเลยแล้ว จะต้องทำความเข้าใจและดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองด้วยเช่นกัน
ผิดนัดชำระนานแค่ไหน ถึง “โดนฟ้องศาล”
ถ้าค้างจ่ายครบ 3 เดือนก็เข้าข่ายเป็นหนี้เสีย (NPL) หากลูกหนี้กับเจ้าหนี้ยังตกลงกันไม่ได้ เจ้าหนี้จะฟ้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ ถ้าคดีสิ้นสุดมีคำพิพากษา และยังไม่มีการชำระหนี้กันก็จะนำไปสู่การสืบทรัพย์ และเข้าสู่การบังคับคดี ได้แก่ การอายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์ขายทอดตลาด ทำให้เส้นทางชีวิตของลูกหนี้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาลและกรมบังคับคดี
ไม่ได้รับหมายศาล = ไม่ได้ถูกฟ้อง?
ใครที่คิดว่า ไม่ได้รับหมายศาล = ไม่ได้ถูกฟ้อง เป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะในทางกฎหมาย หากหมายศาลถูกส่งถึงบ้านจะถือว่า ลูกหนี้ได้รับแล้ว จะปฏิเสธว่าไม่ได้รับไม่ได้ เมื่อถูกฟ้องจะมีหมายศาลส่งไปตามที่อยู่ในทะเบียนบ้านลูกหนี้มีหน้าที่ตรวจสอบจดหมายที่ส่งไปยังที่อยู่นี้ แต่ถ้าลูกหนี้ไม่อยู่บ้านตามทะเบียนบ้านจริงด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากรู้ตัวว่าผิดนัดชำระนี้มากกว่า 3 เดือน แล้วอยากรู้ว่าโดนฟ้องหรือยัง? สามารถตรวจสอบได้จากศาลในเขตอำนาจตามทะเบียนบ้าน เพื่อดูว่ามีคดีแพ่งที่ฟ้องเราแล้วหรือไม่
ควรทำอย่างไรเมื่อถูกฟ้อง ?
อย่างแรกคือ ไม่ต้องตกใจ เมื่อลูกหนี้ได้รับหมายศาลมาแล้ว มีหน้าที่ “อ่านให้เข้าใจ” ว่าศาลต้องการสื่ออะไร และสำหรับหมายศาลแรกที่ลูกหนี้ได้รับในฐานะจำเลยจะเป็นการเรียกให้ไปยื่นคำให้การต่อสู้คดีภายในเวลาที่กำหนดนับจากวันที่รับหมาย
หมายความว่า ศาลไม่คิดจะฟังความข้างเดียว ต้องการเชิญให้ลูกหนี้เข้าไปให้ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในศาลด้วย ที่สำคัญ “คดีแพ่งไม่มีการติดคุก”
ในการอ่านหมายศาล ควรตรวจสอบ 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้
-
-
-
- หมายเลขคดี
- ศาลไหน เพราะประเทศไทยมีศาลทั่วประเทศ
- ประเด็นที่เจ้าหนี้ต้องการฟ้อง
- จำนวนเงินที่ฟ้องตรงกับหนี้สินที่เกิดขึ้นหรือไม่ รายการใดไม่ตรงกับสัญญาบ้าง
- เจ้าหนี้ฟ้องภายในระยะเวลาหรืออายุความที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
-
-
ทำไมควรไปศาลตามนัด
การไปศาลเป็นการแสดงเจตนาว่า เราขอชี้แจงเหตุผลที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามข้อเสนอของเจ้าหนี้ได้ ทั้งนี้หากลูกหนี้ไม่ไปศาลเท่ากับเสียสิทธิในการต่อสู้ และหมดโอกาสเจรจาต่อรองกับเจ้าหนี้ ทำให้ศาลจำเป็นต้องพิพากษาตามคำฟ้องและเหตุผลของเจ้าหนี้เพียงด้านเดียว โดยที่ลูกหนี้ไม่ได้ชี้แจง ทำให้ต้องชำระหนี้เต็มอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อต้องไปศาล มีสิ่งที่ควรจะเตรียมความพร้อม ไว้เบื้องต้นดังนี้
-
-
-
- ควรไปก่อนเวลานัด 30 นาที
- ตรวจสอบและเตรียมเอกสารสำคัญต่าง ๆ ตามข้อกำหนด
- เตรียมคำอธิบายเหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
-
-
เมื่อถูกฟ้องแล้ว ยังสามารถเจรจาหนี้ได้
หลังจากที่ลูกหนี้ถูกฟ้องแล้ว ลูกหนี้ยังสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ จนได้ข้อยุติในการชำระหนี้คืนแล้ว ลูกหนี้และเจ้าหนี้ต้องไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล ซึ่งเป็นการพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โดยลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันที่ถูกฟ้องเป็นจำเลย สามารถทำสัญญาฯ ได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความให้เสียเงินค่าใช้จ่าย เพราะจะมีเจ้าหน้าที่ศาลช่วยตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรมให้อยู่แล้ว อีกทั้งการทำสัญญาฯ ในศาลนั้น จะทำให้ศาลมีคำสั่งคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เจ้าหนี้ด้วยบางส่วน ทำให้ลูกหนี้รับภาระในส่วนนี้น้อยลง และสามารถเจรจากับเจ้าหนี้ไม่ให้ลูกหนี้ต้องรับผิดในค่าทนายความของเจ้าหนี้ด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ผิดสัญญา เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับคดีกับลูกหนี้ได้ทันที
หลังศาลพิพากษาแล้ว ลูกหนี้มีสิทธิและหน้าที่อะไรบ้าง?
“ลูกหนี้” มีหน้าที่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยลูกหนี้มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลภายในเวลา 1 เดือนนับแต่วันพิพากษา หากลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ต้องติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งขอให้เจ้าหนี้ชะลอการบังคับคดี โดยเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะตกลงหรือปฏิเสธก็ได้ หากลูกหนี้ชำระคืนหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้จะตามสืบว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้างและอยู่ที่ไหน ทำงานอยู่ที่ไหน หากเจอก็จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และศาลจะแจ้งไปยังกรมบังคับคดีให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ และ/หรือ อายัดเงินเดือน
1. ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ เช่น ที่ดิน บ้าน เมื่อทรัพย์ถูกยึดแล้ว ก็จะถูกนำออกขายทอดตลาดได้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้
2. อายัดเงินเดือน ค่าจ้าง เงินสงเคราะห์ โบนัส เงินตอบแทนกรณีออกจากงาน เงินฝากในบัญชีธนาคาร เงินปันผล ค่าเช่าที่ลูกหนี้ได้รับ แต่จะไม่อายัดทั้งหมด ต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้บ้าง เช่น
2.1 เงินเดือน อายัดไม่เกิน 30% ของอัตราเงินเดือนก่อนหักรายจ่าย และต้องมีเงินเหลือไม่น้อยกว่า เดือนละ 20,000 บาท
2.2 เบี้ยเลี้ยงชีพ, ค่าล่วงเวลา, เบี้ยขยัน อายัดไม่เกิน 30% ของเงินที่ได้รับ
2.3 เงินโบนัส อายัดไม่เกิน 50% ของเงินที่ได้รับ
2.4 เงินตอบแทนกรณีออกจากงาน อายัดได้แต่ต้องเหลือไม่น้อยกว่า 300,000 บาท
จากบทความข้างต้น จะเห็นได้ว่าการถูกฟ้อง คือสิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ในกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องสำคัญที่อยากให้เอาใจใส่ เพื่อเข้าใจหลักคิดในกระบวนการยุติธรรม พร้อมกับดูแลและปกป้องตัวเองได้ถูกต้อง และไม่ส่งผลกระทบกับเงินกระเป๋ามากเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก : บทความ “สิทธิและหน้าที่ของลูกหนี้ในกระบวนการยุติธรรม” โดย ชนาภรณ์ เสรีวรวิทย์กุล, อาทิตา ผลเจริญ และเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ